เป็นสิวเรื้อรัง มันรบกวนจิตใจบ้างไหมเรามีวิธีการจัดการสิวเรื้อรังมาเล่าให้ฟัง

หลายคนคงประสพปัญหาสิวเรื้อรัง กันมาสักระยะ คงรบกวนชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน มองดูหน้าคนอื่น แล้วย้อนดูหน้าตัวเอง คงรำคาญไม่น้อย ไม่รู้จะแก้ไขยังไงดี กินยา ทายาก็แล้ว เป็นๆหายๆไม่หายขาดสักที
สิวเรื้อรัง เป็นกันได้หลากหลายจุดมาก

สิวเรื้อรัง เป็นกันได้หลากหลายจุดมาก ไม่ว่าจะเป็น หน้าผาก แก้ม จมูก ใบหู แผ่นหลัง  แล้ว แต่ตัวบุคคล

ได้มีการสำรวจผลจากคนที่เป็นสิวแล้วทำการล้างตับ (liver flushing)
คนที่เป็นสิวเรื้อรัง
- 10 ใน 66 คน = สิวหาย
- 33 ใน 64 คน = อาการสิวดีขึ้น
คนที่เป็นสิวฮอร์โมน
- 2 ใน 33 คน = สิวหาย
- 7 ใน 33 คน = อาการสิวดีขึ้น
อาการอย่างอื่นเช่น ปวดหลัง เรื้อนกวาง และอีกหลายโรคดีขึ้น


สาเหตุการเกิดสิวเรื้อรัง

กรรมพันธุ์ ใครที่พ่อแม่ หรือญาติพี่น้องมีประวัติเป็นโรคสิวกันมาก่อน แล้วเราก็ดันเป็นคนที่เป็นสิวมากและเป็นง่าย เราก็มีความเสี่ยงเป็นสิวเรื้อรังได้เช่นกัน
ฮอร์โมนแปรปรวน ฮอร์โมนจัดเป็นปัจจัยหรือสาเหตุหลักของการเกิดสิวอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับสิวเรื้อรังนั้นเรียกได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คนส่วนมากเป็นสิวเรื้อรังกันไม่หายสักที
ระบบย่อยอาหารไม่มีประสิทธิภาพ เกิดจากการที่ระบบย่อยอาหาร เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ตับ มีปัญหาซึ่งเกิดมาจากหลายสาเหตุ ซึ่งก็มาจากการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่มีคุณภาพ
การกินอาหารที่ส่งเสริมการเกิดสิว กินพวกฟาสฟู๊ด อาหารขยะ อาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด เปรี๊ยวจัด เผ็ดจัด อาหารที่มีแป้งเยอะๆ อาหารที่มีไขมันสูง
ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุที่ดูเหมือนเล็กน้อยแต่จริงแล้วส่งผลต่อการเป็นสิวเรื้อรังค่อนข้างมาก

วิธีการลดปัญหาสิวเรื้อรัง หรือวิธีการรักษาสิวเรื้อรัง เพื่อเป็นแนวทางปฎิบัติ สำหรับคนที่มองหายาทา


ครีม BenZac 2.5 %


ครีม BenZac ตัวนี้หากใครเป็นคอสิวแล้วต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะครีมตัวนี้ใช้แก้ปัญหาสิวได้สาระพัด ทั้งสิวผด สิวอักเสบ สิวหนอง รวมไปถึงใช้ละลายสิวอุดตันได้เป็นอย่างดี ส่วน 2.5% คือความเข้มข้นของตัวยาที่ช่วยรักษาสิว ที่แนะนำที่ 2.5% ซึ่งต่ำที่สุดก็เพราะว่าเวลาใช้จะมีโอกาสแพ้น้อย เพราะยิ่งความเข้มข้นมากโอกาสแพ้ก็มีมากขึ้น แต่ก็มีพลังในการกำจัดสิวอุดตันได้ดีขึ้นเช่นกัน หากใครมีผิวหน้าที่ทนทานต่อทุกสภาวะจะลองดูที่ความเข้มข้น 5% หรือ 10% ก็ไม่ว่ากัน วิธีการใช้ครีม BenZac 2.5 % นี้ก็ให้ทาก่อนล้างหน้าเช้า-เย็น ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที พอให้หน้าคันยิบๆก็ไปล้างออกตามปกติ ทาเป็นประจำสัก 2-3 สัปดาห์ก็เริ่มจะเห็นผลว่าสิวอุดตันน้อยลง(ในรายที่ใช้แล้วไม่แพ้นะครับ) ส่วนใครใช้แล้วตรงข้ามกันสิวก็อาจจะเห่อขึ้นเต็มหน้าได้ ทั้งสิวอักเสบ สิวอุดตัน อาจจะพาเรทก็กันขึ้นมาบนหน้าได้ก็ต้องระวังกันด้วย อาจจะลองทดลองทาที่ท้องแขนเพื่อทดสอบก่อนก็ได้ หากทาไปแล้วเกิดมีอาการแสบแดงขึ้น ก็สันนิฐานได้ว่าคุณได้แพ้ครีม BenZac 2.5 % เข้าให้แล้ว

ครีมละลายสิวอุดตัน เรติน เอ(retinoic acid)


เรติน เอ หรือ retinoic acid จัดเป็นครีมทาเพื่อรักษาสิวยอดนิยมอีกตัวหนึ่ง ใช้ละลายสิวอุดตันได้เป็นอย่างดี โดยตัวเรตินเอนี้มี tretinoin ซึ่งมันจะช่วยปรับการทำงานของรูขุมขนของเราให้เป็นปกติเหมือนเดิม จากที่มันเพี้ยนๆไป ซึ่งเมื่อรูขุมขนเราทำงานได้ดีก็จะช่วยลดการเกิดสิวอุดตันได้ดีเช่นกัน วิธีการใช้ครีมเรติน เอ ก็ให้ทาหลังจากที่ล้างหน้าเสร็จแล้ว ก็คือทาครีมก่อนเข้านอนได้เลยไม่ต้องล้างออก แต่มือใหม่หัดทาอาจจะลองทาทิ้งไว้สัก 20 นาทีแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำเปล่าก่อนก็ได้เพื่อเป็นการปรับสภาพผิว หากใช้แล้วรู้สึกว่าหน้าไม่มีความผิดปกติใดๆก็ทาทิ้งไว้ทั้งคืนได้เลย ผลต่อการรักษาสิวอุดตันอาจเห็นผลใน 2-3 สัปดาห์ หรืออาจจะนานถึง 1 เดือนก็แล้วแต่สภาพผิวของแต่ละคน แต่การใช้เรติน เอเพื่อละลายสิวอุดตันก็ต้องระวังแสงแดดให้มากหน่อย เพราะครีมเรติน เอนี้จะทำให้หน้าของเราไวต่อแสงแดดมากๆ จึงควรใช้ครีมกันแดดควบคู่กันไปด้วยเมื่อต้องออกนอกบ้าน

ครีม Differin

Differin เป็นครีมที่มีการทำงานเหมือนๆกับเรติน เอ แต่เป็นตัวยาคนละตัวกันคือเป็นตัว Adapalene 0.1% ใช้ทาละลายสิวอุดตันได้ดี ไม่เหมาะสำหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย(ครีมแอบแรง) และเหมาะกับคนที่เป็นสิวอุดตันไม่มาก หากเป็นมากๆเกรงว่าครีม Differin อาจจะเอาไม่อยู่ เนื้อครีมของDifferin จะละลายในไขมันได้ดีทำให้สามารถแทรกซึมเข้ารูขมขนเพื่อไปละลายสิวอุดตันได้เป็นอย่างดี การทาก็ทาบางๆก่อนเข้านอนหลังจากที่ล้างหน้าเสร็จแล้ว การทาตัวยาเยอะไม่ได้ช่วยให้การรักษาดีขึ้นนะครับ แต่กลับจะทำให้หน้าเกิดการระคายเคืองมากขึ้น เพราะฉะนั้นควรทาบางให้เนื้อครีมขาวๆหายเข้าไปในผิวก็พอแล้ว เดี๋ยวจะแย่กันไปใหญ่


BHA


BHA จัดว่าเป็นครีมละลายสิวอุดตันได้ดีอีกตัวหนึ่งเป็นสารพวก Salicylic Acid ช่วยกำจัดสิว ลดการละคายเคืองผิวได้ดี และ BHA สามารถละลายในน้ำมันได้ดี นั่นก็หมายถึงมันสามารถซึมผ่านไขมันที่หน้าเราเพื่อเข้าไปละลายสิ่งสกปรก หรือสิวอุดตันบนหน้าของเราได้เป็นอย่างดี วิธีการทาก็ให้ทาหลังจากที่ล้างหน้า ทาทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีเพื่อให้ BHA ออกฤทธิ์ละลายสิวอุดตันซะก่อน จากนั้นค่อยทาครีมบำรุงตัวอื่นๆตามไปโดยไม่ต้องล้างออกเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยากเลยใช่มั๊ยครับ BHA ยอดนิยมก็ได้แก่ BHA ของ Paula's Choice มีหลายคนที้ใช้ดีขึงบอกต่อ หากอยากดูรายละเอียดของ BHA เพิ่มเติมตามมาดูได้ที่บทความนี้ครับ บีเอชเอ(BHA)กับการรักษาสิวอุดตันใช้แล้วหน้าบางมั๊ย รูขุมขนกว้างหรือเปล่า?